activities awards

26 ก.ค. 2565

เจาะลึกธุรกิจ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) บริษัท Holding Company ที่เติบโตแข็งแกร่ง จากการทำธุรกิจยางพารา, ปาล์มน้ำมัน, พลังงานทดแทนและโลจิติกส์ และยังได้อานิสงส์จากสงครามที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรปรับเพิ่มขึ้นมาก 
ปี 2565 ถือเป็นปีทองของสินค้าเกษตร โดยเฉพาะยางพาราและน้ำมันปาล์ม ที่ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติอย่างต่อเนื่อง โดยยางพาราได้รับอานิสงส์จากการระบาดของโควิด19 ตั้งแต่ปี 2563 ในการผลิตทำถุงมือทางการแพทย์ ทำให้ราคาโตก้าวกระโดด ส่วนน้ำมันปาล์มราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ประเทศจีนคลายล็อกดาวน์ ทำให้การเดินทางเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยังสะท้อนจากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือน ก.ค.65 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ การเปิดประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ การสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นโดยยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 62.08-62.79 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.68-1.83% เนื่องจากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ของจีนส่งผลให้ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินการผลิตได้ตามปกติและมีการผลิตรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังสูง ส่งผลให้ราคายางสังเคราะห์เพิ่มขึ้นและต้นทุนการผลิตถุงมือยางสังเคราะห์สูงขึ้น จึงทำให้ความต้องการยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นส่วนปาล์มน้ำมัน ราคาอยู่ที่ 10.11-11.35 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.01-16.76% เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของโลก เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้การคมนาคมขนส่งกลับมาให้บริการอีกครั้ง ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร และ Supermarket กลับมาเปิดบริการตามปกติและมันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 2.56-2.60 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.39-1.96% เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและเอทานอลเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการนำเข้ามันสำปะหลังจากต่างประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งราคายางพาราและปาล์มน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) ที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) มีธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 3.ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อย จำนวน11บริษัท และการร่วมค้า จำนวน 1 บริษัท ล่าสุดบริษัทตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตรซึ่งผลประกอบการของบริษัทฯ มีรายได้มาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติเป็นหลัก โดยมีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ผลิตยางล้อชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยผลการดำเนินงาน 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (2562-2564) กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการตามงบการเงินรวม เท่ากับ8,091.40 ล้านบาท 8,196.25 ล้านบาท และ11,087.76 ล้านบาท ตามลำดับ และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 52.65 ล้านบาท 37.65 ล้านบาท และ 562.64 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี2564กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 524.99ล้านบาท สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญส่วนเงินที่ระดมทุนได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TEGH “เฉลิม โกกนุทาภรณ์” ระบุว่า จะนำไปใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการในอนาคตของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน กระบวนการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

กลับไปหน้าข่าวสาร

ข่าวสารอื่นๆ